Page 58 - engrdeptมิย66.indd
P. 58
58 นิตยสารทหารชาง
สมควรแกทาง ไมสักการะคนที่ควรสักการะ ไมเคารพคนที่ควรเคารพ ไมนับถือคนที่ควรนับถือ
ไมบูชาคนที่ควรบูชา
มาณพ! ปฏิปทาที่เปนไปเพื่อความเกิดในสกุลสูงนี้คือ เปนคนไมกระดาง ไมเยอหยิ่ง ยอม
กราบไหวคนที่ควรกราบไหว ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ใหอาสนะแกคนที่สมควรแกอาสนะ ใหทางแกคนที่
สมควรแกทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ
บูชาคนที่ควรบูชา
มาณพ! ปฏิปทาที่เปนไปเพื่อความมีปญญาทรามนี้คือ ไมเปนผูเขาไปหาสมณะหรือพราหมณ
แลวสอบถามวาอะไรเปนกุศล อะไรเปนอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไมมีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไมควรเสพ
อะไรเมื่อทํายอมเปนไปเพื่อความไมเกื้อกูล เพื่อความทุกขสิ้นกาลนาน หรือวาอะไรเมื่อทํายอมเปนไป
เพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน
มาณพ! ปฏิปทาที่เปนไปเพื่อความมีปญญามากนี้คือ เปนผูเขาไปหาสมณะหรือพราหมณ
แลวสอบถามวาอะไรเปนกุศล อะไรเปนอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไมมีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไมควรเสพ
อะไรเมื่อทํา ยอมเปนไปเพื่อความไมเกื้อกูล เพื่อความทุกขสิ้นกาลนานหรืออะไรเมื่อทํายอมเปนไป
เพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน
จะเห็นไดวาตามที่พระตถาคตกลาวถึงกรรมนั้น มิไดเกิดจากตนเองกระทํา หรือเกิดจากผูอื่น
กระทํา และมิไดเกิดจากตนเองหรือผูอื่นกระทําหากแตทานกลาววา
“นิทานสัมภวะ (เหตุเปนแดนเกิดพรอม) แหงกรรมทั้งหลายเปนอยางไรเลา ภิกษุทั้งหลาย
นิทานสัมภวะทั้งหลายคือผัสสะ” ทานผูอานที่ไมเคยศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาอาจสงสัยวา
ผัสสะคืออะไร ผัสสะคือการกระทบของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายในรวมเรียกวา สฬายตนะ
เชน ตากระทบรูปเกิดผัสสะ หูไดยินเสียงเกิดผัสสะ จมูกกระทบกับกลิ่น ลิ้นกระทบ
กับรส กายกระทบสัมผัส และใจกระทบอารมณตาง ๆ เกิดผัสสะทั้งสิ้น นั่นคือ กรรมไดเกิดขึ้นแลว
เมื่อมีผัสสะ (การสัมผัส) พระตถาคต ทรงตอบคําถามที่ภิกษุโมลียะผัคคุนะไดทูลถามวา ขาแต
พระองคผูเจริญ! ก็ใครเลายอมกลืนกินซึ่งวิญญาณาหารทานไดตอบวาก็เรามิไดกลาวอยางนั้น
ถาผูใดจะพึงถามเราผูมิไดกลาวอยางนั้นเชนนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ วิญญาณาหาร ยอมมี
เพื่ออะไรเลาหนอ? ดังนี้แลว นั่นแหละจึงจะเปนปญหาที่ควรแกความเปนปญหา คําเฉลย
ที่ควรเฉลยในปญหาขอนั้นยอมมีวาวิญญาณาหารยอมมีเพื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป
เมื่อภูตะ (ความเปนภพ) นั้นมีอยู, สฬายตนะยอมมี, เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเปนปจจัยจึงมีเวทนา (ความรูสึกตออารมณ) ดังนี้ จากนั้นไดมีการทูลถามและพระผูมี
พระภาคทรงตรัสตอบไปทีละอาการของปฏิจจสมุปบาทไปจนถึงเพราะมีเวทนา เปนปจจัยจึงมีตัณหา
และพระองคไดตรัสตอไปวา เพราะมีตัณหาเปนปจจัยจึงมีอุปาทาน (ความยึดมั่น) ขาแตพระองค
ผูเจริญ! ก็ใครเลายอมยึดมั่นพระเจาขา ? นั่นเปนปญหาที่ไมควรจะเปนปญหาเลย : เรายอมไมกลาววา
“บุคคลยอมยึดมั่น” ดังนี้ถาเราไดกลาววา “บุคคลยอมยึดมั่น” ดังนี้นั่นแหละจึงจะเปน
ปญหาในขอนี้ที่ควรถามขึ้นวา ก็ใครเลายอมยึดมั่นพระเจาขา? ดังนี้ ก็เรามิไดกลาวอยางนั้น ถาผูใด

